การแสดงที่ดีที่สุด หนึ่งในบทบาทที่ทำให้เขากลายเป็นตำนาน เป็นการใส่นวมแล้วก็สวมวิญญาณของ เจค ลาม็อตต้า นักชกที่ว่ากันว่า “โดนต่อยเท่าไหร่ก็ไม่เคยเจ็บ”

การแสดงที่ดีที่สุด ฉายาของนักมวย สามารถบอกถึงขั้นตอนการแล้วก็จิตใจของนักต่อยพวกนั้นได้เป็นอย่างดี ย้อนกลับไปในตอนสมัย 40s-50s ว่ากันว่ายุคนั้นเป็นสมัยที่มวยต่อยกันได้มันและก็สนุกสาแก่ใจผู้ชมเยอะที่สุด โดยมีชื่อเรียกสมัยกันอีกอย่างว่า ยุคโอลด์สคูล ของแวดวงมวยเลยก็ว่าได้

แบบอย่างที่แจ่มกระจ่างที่สุดเป็นในยุค 40s-50s นั้น นักมวยแต่ละคนยังมิได้มีวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาเกี่ยวโยง ไม่มีนักโภชนาการดูแลของกินของนักนักต่อยสมัยนั้น ไม่มีนักจิตวิทยาทางการกีฬาเพื่อช่วยทำให้พวกเขาสามารถลดความตึงเครียดในจิตใจได้เหมือนในปัจจุบัน

ซึ่งสิ่งกลุ่มนี้เริ่มเข้ามาในช่วงปลายสมัย 60s หรือจะชี้แจงให้เห็นภาพเป็น สมัยที่ มูฮัมหมัด อาลี เข้ามาในแวดวงแล้วก็ทำให้มวยรุ่นเฮฟวี่เวตดังคับโลกนั่นเอง ข่าวมวย ออนไลน์

ในสมัย 40s-50s นั้นมันเป็นอะไรที่แตกต่างมากมาย ที่เห็นได้ชัดที่สุดในขณะนั้นเป็น นักมวยผิวดำมิได้รับการยินยอมรับราวกับเดี๋ยวนี้ ขณะนั้นที่สหรัฐฯ มีมาเฟียมวยซึ่งจำนวนมากมาจากพวกกลุ่มสเตอร์ที่เป็นฝูงชนผิวขาว การเลี้ยงนักมวยไว้ในกลุ่มเปรียบเหมือนกับการมีอาวุธเอาไว้ขู่คู่แข่ง แล้วก็เป็นการเอาชนะกันบนเวทีแทนที่จะใช้ปืนยิงกันที่ริมทาง

การแสดงที่ดีที่สุด จะมองเห็นได้ว่ามวยในสมัยนั้น มันเป็นการพนันกันด้วยเกียรติของกลุ่ม มากยิ่งกว่าการที่จะหาผู้ชนะในทางความเป็นเลิศทางกีฬา ซึ่งสิ่งพวกนี้สะท้อนออกมากับนักมวยแทบทุกคนภายในสมัยนั้น เมื่อพวกเขาเดินขึ้นเวที ไม่มีผู้ใดต่อยเพื่อรอนับคะแนนเมื่อต่อยครบชู น็อคเอาต์แค่นั้นที่พวกเขาอยาก

ยอดความสามารถในสมัยนั้นมีเพียงแต่เพียงอย่างเดียว ชื่อของเขาเป็น ชูการ์ เรย์ นักต่อยผิวดำ ที่ถูกเรียกว่า “นักต่อยที่เยี่ยมที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์” คนแรกของโลก ด้วยเหตุผลของความสามารถที่ขึ้นมาเป็นแชมป์โลกได้ ตอนที่โดนเหล่ามาเฟียกีดกั้นทางนักต่อยผิวดำ ด้วยการชนะทุกคนกระทั่งหมด รวมทั้งนำไปสู่การให้โอกาสให้เขาขึ้นชิงชนะเลิศโลกเป็นครั้งแรก และก็ครองบัลลังก์นักต่อยที่เอาชนะคู่แข่งได้มากกว่าร้อยไฟต์

“ชูการ์ เรย์ เป็นผู้ที่จำต้องต่อสู้กับพลังที่ไม่เห็น เว้นแต่ไล่ปัดกวาดนักต่อยที่ยิ่งใหญ่ในรุ่นจนถึงหมดเกลี้ยง เขายังจำต้องสู้กับเรื่องเชื้อชาติ แม้กระนั้นที่ยอดเยี่ยมเป็นเขาสามารถเอาชนะปัญหาทั้งหมดทั้งปวงได้” วิล เฮย์กู้ด นักเขียนหนังสือ Sweet Thunder: Life and Times of Sugar Ray Robinson กล่าว

การแสดงที่ดีที่สุด ด้วยสิ่งต่างๆที่กล่าวมา ก็คงจะเริ่มเข้าใจความไม่มีใครต่อกรได้ของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้งอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น มวยยุคนั้นไม่เคยมีการเลือกคู่ต่อยแบบกลัวเสียแชมป์ ไม่มีการอมสายรัดเอว คนใดกันเก่งที่สุดย่อมได้เจอะกันแบบไม่มีเงื่อนไข โดยเหตุนั้นแม้กระทั้งคนเก่งอย่าง โรบินสัน ก็ยังจำเป็นต้องเคยชิมรสความแพ้พ่ายหนแรกจนได้

การแสดงที่ดีที่สุด

แม้กระนั้นผู้ใดกันล่ะซึ่งสามารถเอาชนะนักมวยที่เหมาะสมที่สุดในโลกเมื่อเทียบเคียงกันปอนด์ต่อปอนด์ นักต่อยที่คนไม่ใช่น้อยพูดว่าครบถ้วนบริบูรณ์และก็ล้ำสมัยดังย้อนเวลามาจากโลกอนาคต

การแสดงที่ดีที่สุด ผู้ปราบ ชูการ์ เรย์ โรบินสันเป็นเจค ผู้ครอบครองสมญานาม วัวกระทิงบ้า … ว่ากันว่านักต่อยคนนี้ไม่ทราบจะคำว่าเจ็บคำว่าปวด แล้วก็ทนมือทนหมัดเยอะที่สุด … เขาใช้สิ่งนี้เอาชนะ โรบินสัน ใช่หรือไม่ ? คืนเชือดหมู

เรื่องราวของ เจค นอกสังเวียน มิได้ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับที่ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน เป็น เขาเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-อิตาเลียน รวมทั้งเติบโตมาในสังคมของกลุ่ม เคยปล้นรวมทั้งฆ่าคนด้วยการซ้อมจนตายมาแล้ว (เรื่องดังที่ได้กล่าวมาแล้วเจ้าตัวออกมายอมรับในคราวหลัง) แล้วก็ชื่อของเขาไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัว เขาเห็นด้วยว่าเขามีนิสัยเสีย เป็นการถูกใจตบตีเมียในยามที่มึนเมา จนกระทั่งทำให้ชีวิตคู่ของเขาไม่ค่อยบรรลุเป้าหมายเท่าไรนัก โดยเขาผ่านการสมรสมาถึง 7 ครั้งอย่างยิ่งจริงๆ

การแสดงที่ดีที่สุด

แม้กระนั้นในฐานะนักมวย นับว่าเป็นนักต่อยสไตล์สมัย 40s-50s ของจริง ถึงแม้ความสามารถจะด้อยกว่า ยกการ์ เรย์ โรบินสัน แม้กระนั้น ถูกเรียกว่า กระทิงคลั่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาชอบระบายความโกรธเมื่อขึ้นเวที ยิ่งเขาโดนคู่แข่งขันต่อยเยอะแค่ไหน เขายิ่งเลือดขึ้นหน้า แล้วก็ซึมเอาน้ำหนักหมัดของคู่ต่อยเข้ามาเป็นพลังของตน ฟังมองบางครั้งอาจจะเสมือนเว่อร์ แต่ว่าเขาก็เคยบอกด้วยตัวเองว่า เวลาที่เขาโดนต่อย เขาไม่รู้จักสึกปวดเลยแม้แต่น้อย

การแสดงที่ดีที่สุด “ผมต่อสู้ตั้งแต่ 7 ขวบ ผมสู้ข้างทางเพื่อเงินไม่กี่เหรียญ ผมเอาเงินที่ได้มาช่วยบิดาผมจ่ายค่าเช่าบ้าน ผมขึ้นเวทีมาจนกระทั่งนับไม่ถ้วนเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ผมปรารถนา ในระหว่างที่ฝึกซ้อมมวย เด็กบุคคลอื่นบางครั้งอาจจะฝึกเพียงแค่ 3-4 ชู แม้กระนั้นผมฝึกครั้งละ 10-20 ชู”

“ผมเคยชินกับการโดนต่อย กระทั่งอย่างกับว่าผมสามารถหลอกร่างกายตนเองได้ว่าผมมิได้เจ็บ ผมมีความคิดว่าไม่มีผู้ใดทำผมเจ็บได้ ผมบางครั้งอาจจะถูกเย็บที่หางคิ้ว จมูกหัก มือแตก แม้กระนั้นขออภัยเถิด ผมไม่เคยเจ็บกับเขาเลยสักครั้ง” ว่าไว้เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิต

นั้นนับว่าเป็นเจ้าถิ่นในรุ่นมิดเดิลเวตมาก่อน กระทั่งวันที่ โรบินสัน ใช้ความสามารถเอาชนะเรื่องสีผิว แล้วก็ก้าวจากรุ่นเล็กมากยิ่งกว่าขึ้นมา ทั้งสองก็เลยได้พบกันหนแรกในตุลาคมปี 1942 การพบกันคราวนั้นเป็นราวกับไฟต์แรกของโลกที่มวยสากลสามารถแบ่งสายนักมวยได้ 2 แบบ ยกตัวอย่างเช่น ไฟเตอร์ รวมทั้ง บ็อกเซอร์ เป็นมวยไฟเตอร์หมัดหนักแม้กระนั้นตั้งรับไม่เป็น ในตอนที่ โรบินสัน เป็นมวยที่เสมือนมาจากอนาคต เน้นย้ำการต่อยที่จะแจ้ง พลังหมัดสูง รู้จักผ่อนช้า รีบจังหวะ

การแสดงที่ดีที่สุด การพบกันหนแรกเดินหน้าต่อย ยกการ์ แบบไม่กลัวตาย ไฟต์นั้นหากแม้เขาจะเป็นข้างเดินหน้า แม้กระนั้น เป็นผู้ที่ออกหมัดแจ่มแจ้งมากกว่า โคตรมวยคนนี้ได้ทุกแบบไม่ว่าจะดักต่อยหรือแลกหมัดกับ ลาม็อตต้า โดยเหตุนี้การพบกันในปี 1942 ก็เลยแพ้แต้มไปแบบเอกฉันท์ จุดเด่นสิ่งเดียวที่ยังเพียงพอไหว เป็นในไฟต์นั้นเขาไม่ยินยอมโดนนับ 10 ให้เสียชื่อเสียงสมญานาม กระทิงคลั่ง เขาฝ่าฝืนจนถึงยืนครบยกได้อย่างน่ายกยอ แม้ว่าจะควรจะเป็นข้างพ่ายก็ตาม

ความห่างชั้นค่อนจะแน่ชัดในระดับหนึ่ง แม้กระนั้นเมื่อแพ้ไปก็จำต้องทวงแค้นคืน ภายหลังพ้นไฟต์แรกมาไม่นาน ยังคงเชื่อถือตนเองเสมอว่า เขาจะสามารถทนหมัดที่เอาจริงเอาจังของ ได้นานกว่าไฟต์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา และก็จะสู้ได้ดีมากยิ่งกว่าที่เคย เขาเป็นคนจำพวกที่หลายท่านบางครั้งก็อาจจะเรียกว่าทึ่ม แม้กระนั้นสำหรับ ลาม็อตต้า เรียกว่าความเชื่อถือ

“ผมไม่เคยเป็นห่วงเลยก่อนจะมีการเดินขึ้นเวทีเพื่อต่อยกับคนใดกัน ผมคิดเสมอว่าผมสามารถชนะได้ … ทุกหนและก็ตลอดระยะเวลา ผมเป็นแบบนั้นมาเสมอ” เขาว่าไว้

ช่วงเวลาที่ เจค ลาม็อตต้า ตัวจริงที่รอเป็นคนดูแลให้ โรเบิร์ต เดอ นีโร ก็การันตีถึงความทุ่มเทของผู้แสดงเจ้าหน้าที่ว่า เดอ นีโร ทุ่มหมดตัวจริงๆฝึกเช่นเดียวกับเป็นนักชกมวยระดับมืออาชีพ และก็ยังตบท้ายว่า ภายหลังที่ เดอ นีโร เล่นบทนี้ เขามั่นใจว่า เดอ นีโร จะสามารถขึ้นไปต่อยกับนักชกมวยระดับมืออาชีพได้อย่างยิ่งจริงๆ

การแสดงแบบเข้าถึงกึ๋น ทั้งยังในช่วงใช้ชีวิตครอบครัวที่ชั่วร้าย และก็นักมวยสายทนทรหดของ โรเบิร์ต เดอ นีโร ถึงกับทำให้ เจค ลาม็อตต้า ที่ได้ดูหนังประเด็นนี้จะต้องเสียน้ำตา และก็หวนคิดกลับไปถึงวันเก่าๆอย่างยิ่งจริงๆ …

“มันเป็นหนังที่กระตุ้นจิตไร้สำนึก ผมมองทุกฉากแล้วคิด เฮ้ย นี่ผมทำทั้งหมดทั้งปวงเสมือนในหนังจริงๆน่ะหรอ ผมบอกตรงๆผมรังเกียจหนังประเด็นนี้เลย ผมยิ่งมองมันเยอะแค่ไหน ผมยิ่งมองเห็นความประพฤติปฏิบัติความชั่วช้าสารเลวร้ายแล้วก็ร้ายแรงของตน ผมดูหนังประเด็นนี้กับเมีย รวมทั้งในฉากตบตีกันบนหน้าจอหนัง ผมเบือนหน้าไปถามคุณว่า ‘นี่ผมสารเลวขนาดนั้นเลยหรอ’ เมียของผมตอบว่า ‘ไม่หรอกหวานใจ คุณเลวทรามกว่านั้นเยอะแยะ'” ลาม็อตต้า กล่าว

ทุกๆอย่างที่กล่าวมารับรองได้อย่างชัดเจนว่า โรเบิร์ต เดอ นีโร เข้าถึงหน้าที่นี้ได้ขนาดไหน ความทุ่มเทรวมทั้งบากบั่นที่จะแสดงออกมาให้ดี ถูกสนองตอบด้วยรางวัลนักแสดงนำชายดีที่สุดรายปี 1981 ของ โรเบิร์ต เดอ นีโร ซึ่งรางวัลนี้เองที่ทำให้เขาเป็นตำนานนักแสดงผู้คว้าออสการ์ถึง 2 ครั้ง แบบที่หาตัวจับแทบไม่ได้จนกระทั่ง ทุกวันนี้